ตั้งราคาขายยังไงให้ "เหลือใช้"

สวัสดีเหล่าบรรดาผู้อ่านทุกท่าน วันนี้กวินได้เห็นและทราบถึงปัญหาของการตั้งราคาขายจากเด็กรุ่นใหม่หลายคนที่ออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ขายไปขายมาคำนวณอีกทีเอ้าขาดทุนซะงั้น ก็เลยอยากจะมาขอแชร์แบ่งปันประสบการณ์ทางการค้าของกวินบ้างครับ เพราะการตั้งราคาขายสำคั๊ญ สำคัญ กำไรมากไปปก็เสี่ยงสรรพากร กำไรน้อยไปก็ขูดเนื้อตัวเอง ตัดพ้อบ่นตัวเอง สำหรับคนไม่มีประสบการณ์ทางด้านตัวเลขมาก่อนเลยก็อาจจะตั้งยากหน่อย ยังไงถ้าอยากให้กวินช่วยก็สามารถทักมาทางอินบ๊อกซ์แฟนเพจได้นะครับ เอาละเรามาดูกันดีกว่าว่าเทคนิคการตั้งราคาขายของเพื่อให้เหลือใช้ในแต่ละเดือนไม่เจ็บตัวต้องตั้งราคาจากอะไรบ้าง

คำนวณจากราคาขาย 100% จะแบ่งได้ดังนี้
  1. ต้นทุน สินค้า คิดเป็น 40 % คือราคาซื้อส่งมานั่นแหละ มาราคาไหนก็ราคานั้น สมมุติซื้อ ชุดราตรีมารีญามาเพื่อจะขายต่อ ราคา 180,000 บาท (แพงไปไหมล่ะ...คนรวยเท่านั้นที่ซื้อ #สาจ๋า) ก็คือราคาต้นทุนที่คิดกันที่ 40% หรืออาจจะคิดเป็นต้นทุนงานบริการ (หาของ/สั่งซื้อจัดส่งเพื่อนำมาขาย/ค่าชิปปิ้ง เป็นต้น)
  2. ค่าใช้จ่ายการขาย คิดเป็น 5% เป็นค่าใช้จ่ายพนักงานหรือคอมมิชชั่น (ให้ใครก็ได้พนักงาน หรือตัวเอง) รวมถึงค่าการตลาด ซื้อโฆษณา
  3. ค่าบริหาร คิดเป็น 30% อันนี้เป็นสัดส่วนของเงินเดือนพนักงาน เงินเดือนผู้จัดการ ค่าเช่าร้าน ค่าใช้จ่ายอื่นๆในร้านหรือสำนักงาน ก็จะต้องบริหารในงบส่วนนี้
  4. ดอกเบี้ย ข้อนี้บางคนไปกู้เงินมาซื้อของหรือกู้มาทำธุรกิจก็อาจจะต้องโดนดอกเบี้ยอย่างน้อย 7% แต่ถ้าไม่ได้กู้หรือไม่มีภาระหนี้สินผูกพันกวินก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยเพราะการไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ เงินในส่วนดอกเบี้ยข้อนี้ก็จะกลายเป็นกำไรของท่านทันที
  5. ภาษี คิดเป็น 10% ซึ่งในสัดส่วนภาษีเป็นการคำนวณไว้เพื่อกัน ก่อนที่จะเจอปัญหาทางการเงินสำหรับร้านค้าองค์กรที่จดทะเบียน แต่ถ้าไม่ได้จดทำอาชีพฟรีแลนซ์ปกติ ก็จะเจอหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ต่องาน เพื่อให้บริษัทนำส่งภาษีให้สรรพากรต่อไป เป็นคนไทยที่ดีอย่าลืมเสียภาษีกันด้วยนะจ๊ะ
  6. กำไรของสินค้า อาจจะอยู่ที่ 8-18%  ซึ่งเป็นขอบเขตที่พอเหมาะสมกับการที่เราจะเก็บเงินสักก้อนนั่นเอง
หลายคนที่ได้อ่านบทความนี้แล้วถ้ารู้ว่าตัวเองยังค้าขายขาดทุนอยู่ก็ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ เพราะการตั้งราคาขายจะช่วยให้เรากำหนดจำนวนเงินที่จะต้องใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างดี แถมไม่ส่งผลเสียต่อเงินในกระเป๋าเราด้วย นี่เป็นเพียงประสบการณ์ของกวินที่อยากแชร์ให้กับคุณผู้อ่านที่สนใจเท่านั้นนะครับ ส่วนท่านไหนอยากแชร์ไอเดียการตลาด ประชาสัมพันธ์ก็ทักทายกวินทางอินบ๊อกซ์แฟนเพจได้เลยครับ




Comments