การสอนทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ในเมื่อเด็กติดเทคโนโลยีเราต้องเอาเทคโนโลยีมาบำบัด ถ้าปี 2018 เด็กไม่ใส่ใจการเรียนขนาดนี้ แล้ว 2022 คิดว่าจะเป็นแบบไหน?
ผมหนักใจตลอดการสอนทุกครั้งที่เริ่มคลาสคือ เทคโนโลยีไปไวจนเด็กแยกแยะไม่ออกช่วงไหนควรเรียน ช่วงไหนควรเล่น มันกลายเป็นเอาทุกนาทีชีวิตไปไว้ที่โลกออนไลน์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังใช้เพื่อคุยแชทกับแฟน 'อาจารย์ดุแค่เก็บลง' หลายๆครั้งที่สังเกตุเห็นในคลาสบรรยาย เด็กจะเล่นเกมส์และไม่ตั้งใจฟัง ก็แอบนอยด์ไปบ้างแต่ด้วยความที่เราเสมือนเรือจ้าง ต้องพาเด็กๆไปให้จบคลาส ก็ต้องหาเทคนิควิธีในการสอน ปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ อยู่ 6 เดือนเต็ม
สุดท้ายคำตอบที่ผมได้คือ ผมตั้ง KPI การสอนในคลาสทุกๆครั้ง ที่ 87-90% ต้อง Complete หมายความว่า ในการสอนทุกคลาส ต้องมีการ Work shop และในการเวิร์คช๊อปต้องใช้เทคโนโลยี 100% และนักศึกษาต้องทำเสร็จสัดส่วน 87 คนใน 100 คน ผมจึงจะถือว่าการสอนสมบูรณ์
เมื่อใช้เทคโนโลยีแล้ว ไม่ยากเลย ที่จะตรวจสอบ ที่บริษัทผมใช้การวัดผลจากการลงทะเบียนเข้าระบบเวิร์คช๊อป เป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับ สามารถบ่งบอกได้ชัดว่า เด็กในคลาสลงทะเบียนกี่คน กำลังทำเวิร์คช๊อปในขณะนั้นอยู่กี่คน และประเมินผลสรุปว่า นักศึกษาทำเสร็จทั้งหมดกี่คน พูดง่ายๆว่ารีพอร์ตกันออกมาแบบวิต่อวิ ใครไม่ทำเรียกชื่อสอบถามได้
แต่!! .... ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่รีพอร์ต ต่อให้เราให้นักศึกษาใช้เวลาในการทำเวิร์คช๊อปมาก มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ความสำคัญคือ 'ยิ่งเดินไปใกล้นักศึกษามากเท่าไหร่ ความตื่นตัวก็จะมีเพิ่มมากขึ้น' ดังนั้นทุกคลาสที่มีการเวิร์คช๊อป ผมจะให้นักเรียนตัวแทน มาทำผ่านไอแพด โดยที่เชื่อมขึ้นผ่านจอโปรเจคเตอร์เพื่อให้เพื่อนๆในคลาสได้ดูเป็นตัวอย่าง ส่วนตัวผมต้องมีอุปกรณ์สำคัญคือ ไมค์ลอย! ต้องมีสัญญาณครอบคลุมทั่วห้อง เพราะผมจะต้องเดินดูนักศึกษาแต่ละจุด เพื่อดูปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเวิร์คช๊อปของนักศึกษา
วิธีการนี้ใช้ได้ดีในกลุ่ม นศ แต่เกิดความสำฤทธิ์ผลน้อยมากกับเด็ก ปวช/ปวส ทุกวันนี้สบายใจ ทุกคลาสที่บรรยาย เด็กทำเวิร์คช๊อปเสร็จ ร้อยละ 90% ใครอยากลองเอาไปใช้ก็ใช้ได้เลยนะครับ รอบหน้าถ้ามีโอกาสจะอัดวิดีโอตลอดการบรรยายให้ดู!!
Comments
Post a Comment