สมมาคุณ บุญข้าวประดับดิน
เรื่องโดย พระปรัชญ์กวิน ธีรปญฺโญ
ด้วยว่าวันนี้วันพระแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๙ เป็นวันที่ชาวพุทธเราถือว่าเป็นวันสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเวลาได้ผ่านเลยไปแล้วก็ต้องรอถึงปีหน้าจึงจะได้ประกอบพิธีเช่นนี้อีกครั้ง กาลเวลาบางอย่างนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเป็นสำคัญ เช่น พ่อแม่บางคนรอคอยลูกกลับมาหา มาเยี่ยมที่บ้านเพราะลูกจากไปทำงานถึงกรุงเทพ หรือไปทำงานต่างประเทศ นี่แหละอาตมาถึงบอกว่ากาลเวลาบางอย่างสำคัญถ้าผ่านแล้วก็ต้องผ่านเลยไป จะทำกันบ่อยๆไม่ได้ หรือแม้แต่คุณโยมอยากทำกฐินซื้อที่ดินถวายวัดมรรคสำราญ ๒๕ ล้านบาท สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม ถ้ามีคนจองไว้แล้ววัดก็ไม่สามารถรับของคุณโยมได้อีก ต่อให้โยมอยากจะทำมากมายแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ถึงจะเป็นระดับพระราชา มหาเศรษฐีมีทรัพย์มากมายเพียงใดก็ไม่อาจจะทอดกฐินนอกเทศกาลได้
ส่วนบุญข้าวประดับดิน ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในวันนี้นั้นเป็นบุญที่จะต้องทำเฉพาะในเดือน ๙ เท่านั้นและทำได้ปีละครั้งคล้ายๆการทอดกฐินส่วนมากจะทำกันในเดือนดับ แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๙ นี่แหละคุณโยม การทำบุญข้าวประดับดินนี้จุดประสงค์หลักก็เพื่ออุทิศส่วนบุญไปให้ญาติที่ได้ล่วงลับไปแล้วโดยเชื่อกันว่าในช่วงเดือนเก้านี้เป็นเทศกาลที่ยมบาลปล่อยสัตว์นรกให้กลับบ้านมาหาลูกหลานเพื่อจะรับข้าวปลาอาหารอาหารที่ลูกหลานทำการอุทิศให้โดยพวกเราจะสังเกตได้ว่าในเดือนนี้พวกสุนัขทั้งสุนัขบ้านและสุนัขป่าจะพากันเห่าหอนในตอนกลางคืนมากผิดปกติพวกเราจึงเข้าใจว่าพวกมันคงเห็นพวกคนที่ล่วงลับไปแล้วกลับมาขอส่วนบุญจากญาติพี่น้องจึง พากันเห่าหอนเป็นทอดๆ “ถ้าท่านไหนมีธรรมมากก็จะไม่ตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น ยุบหนอพองหนอ เห็นหนอ ถ้าดูท่าจะไม่ดีหน่อยก็แล่นหนอ แล่นหันๆหนอ กำหนดสติของเราไป เพราะวันนี้เชื่อว่า ยมบาลจะปล่อยให้ผีในนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี คุณพ่อ คุณแม่ วิญญูชนทั้งหลายของท่านจะได้ออกมารอรับบุญกุศลที่ได้ตั้งใจทำ ไม่เท่านั้นนะโยมรุกขเทวดาก็ออกมาดูนะโยม มาดูว่าคุณโยมลูกหลานจะทำบุญเป็นไหม เชื่อกันอีกว่าถ้าทำบุญข้าวประดับดินในวันนี้จะทำให้ท่านทั้งหลายที่มารอรับส่วนบุญได้รับอานิสงฆ์ของบุญอย่างแท้จริง” เช่นนั้นถ้ามนุษย์คนใดที่ไม่ได้ทำบุญข้าวประดับดินในช่วงเทศกาลเดือนเก้านี้พวกญาติที่ล่วงลับไปแล้วก็จะอดอยากไม่ได้รับอาหารก็จะหิวโหยโอดครวญร้องห่มร้องไห้กลับไปยังนรกตามเดิม และบางครั้งก็อาจจะแช่งด่าลูกหลานด้วยว่าไม่ทำบุญไปให้หรืออาจจะกลั่นแกล้งลูกหลานด้วยก็ได้
ยกตัวอย่างแม่ใหญ่มุนนี ศรีบ้านแฮด เป็นคนร่ำรวยแต่มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวไม่เคยทำบุญเลยในชาตินี้แกได้สมบัติอะไรมาก็เก็บไว้ไม่ทำบุญไม่สงเคราะห์ใครใครทั้งนั้นแหละนอกจากจะไม่ทำบุญแล้วถ้าแกเห็นลูกลูกเอาเงินไปทำบุญก็จะดุด่าห้ามปรามไม่ให้ทำบุญโดยบอกว่าทำบุญก็เสียเปล่าเอาไว้ซื้อข้าวกินเองไม่ดีกว่าหรืออะไรทำนองนี้ อยู่ต่อมาไม่นานนางก็เป็นโรคเจ็บป่วยลงด้วยความที่เป็นคนตระหนี่ ก็ไม่ไปหาหมอเพราะกลัวจะเสียเงิน ในที่สุดนางก็ตายด้วยความทรมานซับที่หน้าหามาไว้ในบ้านมากมายตั้งหลายล้านบาทก็ตกเป็นของลูกต่อไปโดยที่นางไม่ใช้ประโยชน์จากซับนั้นเลยสู้อุตส่าทำงานหนักหามาและเก็บรักษาไว้เลย พอตายไปแล้วด้วยความที่ไม่เคยทำบุญอะไรไว้เลยและนอกจากจะไม่ทำบุญไว้แล้วแถมยังสร้างอกุศลกรรมไว้ในใจอีกด้วยโดยการคิดตำหนิคนทำบุญว่าทำบุญให้สูญเสียเงินทองเปล่าไม่เกิดประโยชน์อะไรด้วยจิตอกุศลนี่เองทำให้นางไปเกิดใน นรกอเวจีเกิดในหม้อกระทะทองแดงเกิดและตายอยู่ในหม้อกระทะทองแดงเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้นเป็นเวลานาน
ครั้นเมื่อถึงช่วงเทศกาลบุญข้าวประดับดินนายยมมาบานทำการพักโทษสัตว์นรกทั้งหลายให้กลับมาขอส่วนบุญจากญาติพี่น้องที่ยังไม่ตายเผื่อมีญาติใครที่ใจบุญกุศลทำบุญอุทิศไปให้ก็จะได้รับบุญนั้นทำให้หมดเวรหมดกรรมในนรกไปเกิดยังสถานที่อื่นต่อไป ส่วนใครที่ยังไม่หมดเวรหมดกรรมก็จะได้รับอาหารจากญาติพี่น้องพอประทังความหิวโหยไปได้บ้างสักปีละครั้งสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้รับพักโทษในนรกสักชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็รีบกลับบ้านของตัวเองต่างแยกย้ายกลับไปในบ้านเพื่อไปขอส่วนบุญจากญาติพี่น้องเมื่อไปที่ไหนก็มีสุนัขเห่าหอนไปตามๆกัน สตรีนางที่ว่านี้ก็เหมือนกันไม่ได้ปรับโทษแล้วนางก็รีบกลับบ้านมายืนรอส่วนบุญจากลูกลูกอยู่ที่ข้างข้างยุ้งข้าวบ้านใต้ถุนบ้านบ้างหน้าลูกหลานก็ไม่ได้เห็นลูกหลานก็มีความตระหนี่เหมือนแกไม่มีผิดทำให้นางร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนาพร้อมทั้งบ่นกับตัวเองว่าถ้ารู้อย่างนี้เงินทองที่สู้อุตส่าห์ทำงานแลกมาเก็บรักษาไว้ตั้งมากมายนั้นจะเอามาทำบุญให้หมดทั้งทีไรที่นาก็จะขายมาทำบุญให้หมดชาติหน้าจะได้ไม่อดอยากจะได้ มีอาหารทิพย์กินเหมือนคนอื่นไม่ต้องตกนรกและหิวโหยอดอยากอยู่อย่างเช่นนี้ในที่สุดนางก็ต้องกลับนรกเสวยกรรมของตัวเองพร้อมทั้งทนหิวโหยต่อไปอีกปีและปีหน้าก็ยังจะมาอีกเผื่อว่าลูกหลานจะทำบุญอุทิศให้บ้าง ปีนี้ต้องอดทนอดอยากทนหิวต่อไป ท่านสาธุชนทั้งหลายทุกปีเมื่อถึงเดือนเก้านี้เวลาท่านทั้งหลายผ่านไปตามทางแยก ทางสี่แพร่ง หรือตามท้องไร่ท้องนา หรือที่ดินส่วนใดก็ตามท่านจะสังเกตเห็นมีกระทงใบตองใส่อาหารวางไว้ ตามสี่แยกหรือตามที่นาบ้างตามสวนบ้างนั่นแหละให้ท่านทราบเถิดว่าเขานำข้าวปลาอาหารไปวางไว้ตามที่ต่างๆเพื่อให้ญาติพี่น้องหรือบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วได้กิน ทั้งนี้ก็เพราะว่าบางคนมีใจผูกพันอยู่กับที่ไร่ที่นาได้ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ตามที่ไร่ที่นาก็จะได้กินอาหารนั้น หรือบางคนที่กลับบ้านไม่ถูกก็อาจเดินไปตามทางแยกก็จะได้กินอาหารนั้น ดังนั้นท่านจึงเรียกข้าวปลาที่นำไปวางไว้ตามดินต่างๆ นั้นว่า “ข้าวประดับดิน" แต่ทุกวันนี้บ้านเมืองเจริญขึ้นก็จะพบเห็นข้าวประดับดินที่ว่านี้ได้เป็นบางแห่งแต่ในสมัยก่อนนั้นตามทางแยกตามข้างทางถนนหนทางตามไร่นาและตามสวนจะพบเห็นมีข้าวปลาอาหารที่ญาตินำไปวางไว้เพื่อให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้มา บริโภคเป็นจำนวนมาก
นี่คือสาระแห่งการทำบุญข้าวประดับดินที่ท่านสาธุชนทั้งหลายได้ทำการในวันนี้นอกจากนี้แล้วในโบราณกาลท่านยังได้ให้ความหมายของคำว่าข้าวประดับดินนี้เป็นเชิงธรรมาธิษฐานไว้ด้วยว่าดินในที่นี้หมายถึงตัวเราแต่ละคนนี้เองคือร่างกายของเราแต่ละคนประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม มารวมกันทำให้เกิดเป็นมนุษย์แต่ละคนเกิดขึ้นมาในโลกนี้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็แตกสลายไปตามกาลเวลา ถ้ายังมีกิเลสที่จะยังทำให้เกิดต่อไปได้อีกร่างกายที่ตายไปแล้วนั้นก็จะเกิดขึ้นได้อีกเช่นเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้ หรือจะเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่แต่ละคนได้ทำไว้เป็นปัจจัยส่งว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ดังนั้นตัวเราแต่ละคนนี้เองมี ธาตุดินผสมอยู่นักปราชญ์ทั้งหลายจึงแสดงเป็นธรรมาธิษฐานว่าให้พวกเราแต่ละคนทำการประดับดินในร่างกายของตัวเองให้สวยงามอันจะเป็นการประดับประดาร่างกายของแต่ละคน บางคนที่ได้ยินว่าให้ประดับดินในร่างกายนี้แล้วก็นำเครื่องประดับมาสวมใส่อวดกันเป็นการใหญ่ เช่น นาฬิกาบ้าง แหวนทองบ้าง แหวนเพชรบ้าง วัตถุเหล่านี้ถือว่าเป็นเครื่องประดับเหมือนกันแต่เป็นเครื่องประดับภายนอกบางครั้งอาจจะเป็นภัยต่อตัวเองก็ได้แต่เครื่องประดับที่ดีกว่านี้ที่ท่านสรรเสริญและแนะนำมาประดับร่างกายนั้นคือเครื่องประดับภายในเป็นเครื่องประดับที่ปลอดภัยไม่มีใครลักขโมยไปได้มีประดับอยู่กับผู้ใดก็จะติดตัวผู้นั้นไปในโลกหน้าด้วย
เครื่องประดับชนิดนี้ได้แก่ “บุญกุศลและฌานสมาธิ” เป็นเครื่องประดับจิตวิญญาณของผู้ทำบุญและฝึกสมาธิพระพุทธองค์เรียกว่า “อภิสังขาร" คือ บุญญาภิสังขารและอาเนชญาภิสังขาร เป็นเครื่องประดับจิตใจที่สามารถนำเราไปเกิดในสวรรค์และพรหมโลกได้ หรือนำให้ไปนิพพานก็ได้ ส่วนเครื่องประดับไม่ดีก็มีด้วยเช่นกันได้แก่ อปุญญาภิสังขารคือ ความชั่วต่างๆถ้าใครทำบาปและทำความชั่วประดับกายมากๆก็จะนำจิตของผู้นั้นไปเกิดเป็นสัตว์เดรัฐฉานก็ได้ทำให้เกิดในนรกก็ได้หรือเกิดเป็นเปรตก็ได้ ดังนั้นถ้าใครไม่ต้องการไปเกิดในนรกก็ไม่ต้องการเกิดเป็นเปรตก็ไม่ต้องประดับร่างกายด้วยความชั่วอกุศล แต่ให้สร้างบุญและฝึกจิตสมาธิขึ้นมาประดับจิตใจแทนก็จะได้ชื่อ ว่าทำบุญข้าวประดับดินที่ถูกต้องให้กับตัวเองตั้งแต่เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องระวังขอส่วนบุญจากลูกหลานเหมือนเรื่องราวของสตรีที่เล่าให้ฟังนี้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงเน้นให้พวกเราหาบุญและสมาธิมาประดับจิตใจและสังขารร่างกายอันจะทำให้เกิดความงามทั้งในชาตินี้และชาติหน้า บุญและสมาธิเป็นเหมือนน้ำอมตะพิเศษที่ชโลมจิตใจของเราให้เจริญงอกงามได้เหมือนน้ำที่เรารถต้นไม้อยู่ทุกวันไม่นานมันก็จะโตพร้อมที่จะออกดอกอันสวยงามให้ชมและออกผลผลิตให้กินก็ได้แต่เราต้องขยันบำรุงรักษาและอดทนรอ การเดินทางในสังสารวัฏเป็นสิ่งมืดมนอนธการยิ่งนัก จึงเป็นเรื่องน่ากลัวมากเหมือนเราจะเดินฝ่าไปในความมืดย่อมเกิดความกลัวตลอดทางเดิน เราไม่มีทางทราบได้เลยว่าตายจากชาตินี้แล้วจะไปเกิดในภพใดอีกยิ่งน่ากลัวกว่าการเดินฝ่าความมืด ถ้าเรามีบุญและสมาธิมากๆทั้งบุญและสมาธิจะเป็นไฟนำทางให้เราเดินไปได้อย่างสะดวกทั้งจะเป็นอาหารเสบียงทางให้เราไม่ต้องหิวโหยอดอยากตลอดการเดินทาง และตอนนี้ท่านทั้งหลายเพิ่งสำรวจตัวเองและรีบเร่งในการเตรียมเสบียงให้พร้อมจะไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง จึงเป็นเรื่องน่ากลัวมากเหมือนเราจะเดินฝ่าไปในความมืดย่อมเกิดความกลัวตลอดทาง เราไม่มีทางทราบได้เลยว่าตายจากชาตินี้แล้วจะไปเกิดในภพใดอีกยิ่งน่ากลัวกว่าการเดินฝ่าความมืดมากนัก ถ้าเรามีบุญและสมาธิมากๆทั้งบุญและสมาธิจะเป็นไฟนำทางให้เราเดินไปได้อย่างสะดวกทั้งจะเป็นอาหารเสบียงทางให้เราไม่ต้องหิวโหยอดอยากตลอดการเดินทาง และตอนนี้ท่านทั้งหลายพึงสำรวจตัวเองและรีบเร่งในการเตรียมเสบียงให้พร้อมจึงจะไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง ดั่งธรรมภาษิตที่อาตมาได้ยกไว้ในตอนต้นว่า “นัดถิจิตเตปะสันนะนัมหะ อัปปะนามะทักขินา เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาทานชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี” จิตที่เลื่อมใสในทุกชั่วขณะลมหายใจหยั่งรู้ในพระศาสนา มักจะเตือนตนให้ยินดีในสิ่งที่ได้ทำเพราะความเลื่อมใส ไม่มีคำว่าน้อย ไปหรือมากไปเพราะจิตของเราเต็มใจถวายด้วยความเลื่อมใส You only live once, but if you “do it right”, “once is enough” คุณโยมใช้ชีวิตได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าใช้อย่างถูกต้อง ครั้งเดียวก็เพียงพอ
… เอวังด้วยประการฉะนี้
#เจริญพร
Comments
Post a Comment